จดหมายถึงเพื่อน
เขียนโดย : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
สำนักพิมพ์บ้านหนังสือ
เขียนโดย : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
สำนักพิมพ์บ้านหนังสือ

แม้จดหมายทุกฉบับที่รวบรวมในหนังสือเล่มนี้ เป็นจดหมายส่วนตัวที่กนกพงศ์ตั้งใจเขียน
ถึงเพื่อนนักเขียนด้วยกัน (หมายถึงขจรฤทธิ์ รักษา - -บก.หนังสือเล่มนี้) ก็ตาม
แต่เนื้อความและสิ่งที่กนกพงศ์เขียนบอกเล่ามุมมองของเขาต่อความเป็นไปทั้งในเรื่องของดินฟ้าอากาศ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแวดวงนักเขียนที่แวดล้อมเขาอยู่ เรื่องของหนังสือที่เขากำลังอ่านติดพัน
รวมไปถึงเรื่องราวความนึกคิดในจิตใจของเขาก็เป็นเสมือนบทบันทึกจากมุมมองและสายตาของเขา
ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง (ทั้งยังได้ก้าวเข้าไปสู่โลกส่วนตัวของเขาในบางเสี้ยวบางมุม)
กนกพงศ์ใช้จดหมายเป็นเครื่องผ่อนคลาย ผ่อนพักจากการทำงานเขียน เหมือนการซ้อมมือ
และหยุดความคิดเตลิดจากเรื่องอื่น ก่อนจะดิ่งลงสู่สมาธิอีกครั้งในการทำงาน
บ่อยครั้งเขาเล่าถึงหนังสือเล่มที่อ่านอยู่แล้วขบคิดกับมันเพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักเขียนด้วยกัน
และที่น่าสนใจคือต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักแนะนำหนังสือที่น่าคล้อยตามอย่างไม่ต้องสงสัยทีเดียว
…
…
“8 กรกฎาคม 2547
On Writing ของสตีเฟน คิงก์ให้ความรู้สึกคลุ้มคลั่งได้ดีเหลือเกินคุณอ่านหรือยัง
มีหลายจุดที่ผมไม่เห็นด้วย (แน่นอน เพราะผมเป็นนักเขียนคนละแนวกับเขา โดยเฉพาะในรายละเอียด)
On Writing ของสตีเฟน คิงก์ให้ความรู้สึกคลุ้มคลั่งได้ดีเหลือเกินคุณอ่านหรือยัง
มีหลายจุดที่ผมไม่เห็นด้วย (แน่นอน เพราะผมเป็นนักเขียนคนละแนวกับเขา โดยเฉพาะในรายละเอียด)
แต่จุดใหญ่ใจความเมื่อกล่าวถึงงานเขียน-ศิลปะการเขียน มันเจ๋งเป้ง โดน
มีหลายหนที่เขากระหน่ำตรงจุดอ่อนของเรา (ของผม) เข้าเป้า สะทกสะท้าน ทั้งน่าพรั่นพรึงและถึงใจ
ผมอ่านไปได้สองร้อยกว่าหน้าแล้ว ยอมรับเลยว่าเกิดอาการพลุ่งพล่านอยากเขียนขึ้นมา
ผมอ่านไปได้สองร้อยกว่าหน้าแล้ว ยอมรับเลยว่าเกิดอาการพลุ่งพล่านอยากเขียนขึ้นมา
บอกไม่ได้หรอกครับว่ามีถ้อยคำไหนที่ไปฉุดความรู้สึกของผมเช่นนั้น คงเป็นโดยรวมทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้
ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เราเขียน...เขียน...เขียน เป็นนักเขียนมันต้องเขียน
เขียนทุกวันและเขียนอย่างสนุก ยิ่งอ่านก็ยิ่งอายที่ไม่ได้กลับไปที่โต๊ะเขียนหนังสือสือเสียที
อยากเขียนเป็นบ้า แต่นั่นแหละทำยังไงได้ ลงมืออ่านไปแล้วก็ต้องยื้อจนจบ
พยายามข่มกดอารมณ์อยากเขียนเอาไว้ ขออีกวัน
ทนไม่ไหวจนต้องมาผ่อนคลายระบายความอัดอั้น ด้วยการเขียนจดหมายถึงคุณนั่นแหละ….”
(หน้า 87)
ทนไม่ไหวจนต้องมาผ่อนคลายระบายความอัดอั้น ด้วยการเขียนจดหมายถึงคุณนั่นแหละ….”
(หน้า 87)
ข้อดีของหนังสือที่รวบรวมมาจากจดหมายคือ ทุกขณะที่เราอ่าน เรารู้สึกเหมือนกำลังได้สนทนา
แลกเปลี่ยนกับนักเขียน แม้เขาไม่ได้ตั้งใจแลกเปลี่ยนกับเราก็ตาม แต่เมื่อเราได้ลงมืออ่าน
การสื่อสารนั้นก็มาสู่เราโดยตรง ตัวต่อตัว และฉับพลันทันทีที่สายตาเรากระทบตัวหนังสือแต่ละหน้า
แต่ละประโยคแน่นอนว่า หลายเรื่องราวในนั้นเราอาจไม่เห็นด้วย จนถึงขนาดอยากถกเถียง
หรือแม้กระทั่งถกเถียงไปแล้วกับหน้าหนังสือที่เราเปิดอ่าน ขณะที่บางช่วงบางตอนเราอาจคล้อยตาม
ความคิดและสิ่งที่กนกพงศ์เล่าสู่กันฟัง จนต้องผงกหัวไปกับน้ำเสียงที่ส่งมา
และบ่อยครั้งทีเดียวที่เราอาจทอดถอนใจไปกับเรื่องราวที่กำลังรับรู้ และหนักใจไปพร้อมๆ กันกับเขา
สารเหล่านั้นจึงเหมือนส่งมาถึงเราโดยตรง และทำให้เราก้าวผ่านเรื่องราวของคนอื่น
สารเหล่านั้นจึงเหมือนส่งมาถึงเราโดยตรง และทำให้เราก้าวผ่านเรื่องราวของคนอื่น
ไปสู่การมองย้อนเพื่อคิดคำนึงถึงเรื่องราวของตัวเราเองแทบทุกฉบับที่เขียนขึ้น
และไม่น่าเชื่อว่าหลายตอนในหนังสือเล่มนี้ชักชวนเราเปิดประตูมองดูโลกกว้างข้างๆ ตัว
และไม่น่าเชื่อว่าหลายตอนในหนังสือเล่มนี้ชักชวนเราเปิดประตูมองดูโลกกว้างข้างๆ ตัว
มองดูผู้คน และมองดูความเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่รายล้อม และเราเป็นส่วนหนึ่งของมัน
การเขียนจดหมาย จึงเป็นมากกว่าการลงมือพูดคุยกับใครสักคนผ่านตัวหนังสือ
การเขียนจดหมาย จึงเป็นมากกว่าการลงมือพูดคุยกับใครสักคนผ่านตัวหนังสือ
เพราะในอีกทางหนึ่งการเขียนจดหมายก็เป็นเหมือนการนั่งพูดคุยกับตัวเราเอง
ย้อนนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ และแต่ละจังหวะชีวิต
โดยภาพรวมแล้วเนื้อความในจดหมายสะท้อนให้เห็นว่ากนกพงศ์ทำงานอย่างหนักเพียงไร
โดยภาพรวมแล้วเนื้อความในจดหมายสะท้อนให้เห็นว่ากนกพงศ์ทำงานอย่างหนักเพียงไร
ครุ่นคิดต่อฉาก มุม และรายละเอียดในชีวิตของผู้คนที่เห็นมากเพียงไร
หลายเรื่องแม้เป็นเรื่องส่วนตัวของกลุ่มคนในแวดวงที่ใกล้ชิดกับเขา ที่เขียนขึ้นด้วยอารมณ์คับข้องใจ
อ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ออกจะกัด จิก เหน็บแนมมากเพียงไร
บก. ได้ปรับเปลี่ยนชื่อคนแทนคำว่า เพื่อนนักเขียน เพื่อนกวี พี่นักเขียน ฯลฯ)
แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้ระหว่างบรรทัดที่มองไม่เห็น คือความปรารถนาดีต่อแวดวงวรรณกรรมที่เขารักอย่างสุดใจ
…
“พวกเขาเชื่อว่าข้อมูลคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อมีข้อมูลแล้ว การเขียนนิยายสักเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องง่าย
นี่เป็นสิ่งที่เห็นแย้งกับผม แต่ผมจะไปคัดง้างพวกเขาอย่างไรครับ ในเมื่อผมเชื่อว่า
ข้อมูลเป็นองค์ประกอบในสัดส่วน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของนิยายเรื่องหนึ่ง มากไปกว่านี้
มันก็จะแสดงตัวของมันออกมา กลายเป็นนิยายที่แข็ง แห้งแล้ง อีก 75 เปอร์เซ็นต์นั่นต่างหากที่สำคัญ
คือวิธีการเล่าเรื่อง วรรณศิลป์ ซึ่งสิ่งนี้ซ่อนอยู่ใต้บรรทัด ด้วยนักเขียนอาศัยจินตนาการ
ผูกโยงเรื่องราวขึ้น มันจึงไม่แสดงตัวออกมาให้นักอ่านได้เห็ แต่จริงๆ นักอ่านซึมซับมันอยู่ทุกขณะในการอ่าน
มันคือความลื่นไหลต่อเนื่อง ชักดึงอารมณ์ของนักอ่านไปสู่จุดหมาย...”
(หน้า 174)
…
(หน้า 174)
…
“แต่ไม่ต้องห่วง แม้ผมจะมีความคิดและความรู้สึกกับวงวรรณกรรมเช่นนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงท้ออะไร
ผมยังคงมีความตั้งใจและตั้งมั่น ในงานวรรณกรรมต่อไป มันจะขายได้ไม่ได้เราก็ต้องทำ
เพราะมันเป็นคำตอบสำหรับชีวิตเรา คือเขียนหนังสือ ผมนึกไม่ออกนะครับว่า
หากละจากการเขียนไปเสียแล้ว ผมจะตอบกับตัวเองอย่างไร เราเป็นอะไร
การเขียนจึงเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการมีชีวิตอยู่...”
(หน้า 71)
และบางตอนในเนื้อความ ก็ทำให้เรายิ้มกับภาพที่เกิดขึ้น
...
(หน้า 71)
และบางตอนในเนื้อความ ก็ทำให้เรายิ้มกับภาพที่เกิดขึ้น
...
“ไม่แน่ใจว่า ฉบับก่อนผมได้เล่าถึงชายคนที่มาอาบน้ำที่คลองในสวนผมที่กรุงชิงหรือเป่า
ที่แกบอกว่าต้องหาบน้ำจากในคลอง ปีนตลิ่งขึ้นรดมังคุดน่ะครับ ถึงตอนนี้ หากฝนตกที่กรุงชิงตกเหมือนที่นี่
ผมคิดว่า เสียงหัวเราะของแกน่าจะดังขึ้นไปถึงสวรรค์...”
(หน้า 190)
ใครที่คิดถึงตัวหนังสือของกนกพงศ์ “จดหมายถึงเพื่อน” น่าจะเป็นตัวแทนบางอย่าง
(หน้า 190)
ใครที่คิดถึงตัวหนังสือของกนกพงศ์ “จดหมายถึงเพื่อน” น่าจะเป็นตัวแทนบางอย่าง
ที่มาช่วยคลายความรู้สึกนั้นลงไปได้บ้าง (รวมไปถึงงานหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่)
และหากใครที่ฝันอยากเป็นนักเขียน(ที่ดี)แนะนำว่าควรหามาอ่านโดยพลัน
จดหมายฉบับที่เขียนถึงงาน On Writing ของ สตีเฟ่น คิงก์ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2547
นั้นกนกพงศ์จบท้ายจดหมายถึงเพื่อนหลังจากเล่าเรื่องบอลยูโรว่า
…
…
”ไปคุยกับสตีเฟน คิงก์ต่อเสียหน่อย
รัก
กนกพงศ์”
รัก
กนกพงศ์”
(หน้า90)
และเราเองก็คงได้เวลาไปคุยกับกนกพงศ์ต่อ...เช่นกัน
แนะนำโดย : สกุณี ณัฐพูลวัฒน์