ผมกับผมอีกคน (ข้ามให้พ้นหุบเหวแห่งความเกลียดชัง) : จำลอง ฝั่งชลจิต



ผมกับผมอีกคน

(ข้ามให้พ้นหุบเหวแห่งความเกลียดชัง)

เขียน : จำลอง ฝั่งชลจิตร

สำนักพิมพ์ : รูปจันทร์

ราคา : 140 บาท (พิมพ์ครั้งหนึ่ง, 2554)

แค่คำโปรยปกหลังก็ชักชวนแทบจะกวักมือเรียกให้นักอ่าน(โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบเรื่องสั้น) รีบพลิกเข้าไปอ่านด้านใน รวมไปถึงรีบหยิบหนังสือไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายสตางค์ในทันทีทันใดเลยทีเดียว

จำลอง ฝั่งชลจิตรเขียนไว้ในคำนำ ส่วนหนึ่งว่า...(ซึ่งนำมาโปรยปกหลัง)

“ด้วยไม่ปรารถนาให้เรื่องสั้นดับดิ้นไปต่อหน้าต่อตา ในยุคสมัยที่ตัวเองพอเขียนได้ จึงลงมือลงใจรักเรื่องสั้น เขียนชุบชูศิลปะอันเป็นที่รัก ถึงบางคนเลิกรัก ตัดขาดไม่เขียนไม่ซื้อหา ไม่อ่าน ตื๊อเขียนเพราะรัก เขียนเพราะเป็นอาชีพ เขียนด้วยจิตวิญญาณของมืออาชีพ ไม่ปรารถนาให้ใครยกย่องเป็นมือเรื่องสั้น

เบื้องลึกของจิตใจ ใคร่เห็น “มือเรื่องสั้น” ตัวจริงสลัดพันธนาการ แล้วลุกมาเขียนบำรุงหัวใจนักอ่านกันบ้าง ตื่นมาสร้างสรรค์งานศิลป์งามล้ำเลิศ งานที่เคยรักสุดประมาณ อยากอ่าน อยากเรียนรู้ อยากเดินเคียงข้างไปกับคนเก่งของแท้ หรือตามหลังก็ไม่เกี่ยงงอน อย่าปล่อยให้ “มือเรื่องสั้นสามัญ” โดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลน้ำหมึกเลย”

...

นักเขียนที่ทุ่มเทใจให้กับงานเรื่องสั้นอย่างนี้ เราสมควรปล่อยให้เขาเดินอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยไม่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับตัวหนังสือของเขาเชียวหรือ...

หนังสือ “ผมกับผมอีกคนฯ” คือ รวมเรื่องสั้นล่าสุดของนักเขียนฝีมือดีท่านนี้อีกเล่มที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงสำหรับมิตรรักนักอ่านงานจำลอง รวมไปถึงผู้ชื่นชอบเรื่องสั้น หรือคนที่มีเวลาน้อยนิดซึ่งมักจะอ้างว่าไม่ได้อ่านหนังสือเพราะไม่มีเวลา...

นาทีนี้...ได้โปรดเจียดเวลาอันน้อยนิดของท่านให้กับเรื่องสั้นดีๆ ที่ใช้เวลาอ่านไม่มากมายนัก เพียงนิ่งแล้วอยู่กับตัวหนังสือ ปล่อยผ่านเรื่องราว ประเด็น และเรื่องเล่าที่บอกเล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่มีชั้นเชิงระหว่างบรรทัดมากมายให้ไหลเข้าไปด้านใน ซึ่งเชื่อว่าท่านสามารถอ่านเรื่องสั้นของจำลองแต่ละเรื่องจบได้ในเวลาอันไม่นานนัก แต่แม้จะใช้เวลาอ่านไม่มากนัก ทว่าเรื่องราวที่จำลองเขียนถึงกลับเข้าไปนั่งสนทนาในใจกับท่านอีกเนิ่นนานทีเดียว

ถ้าพูดโดยภาพรวมแล้ว แต่ละเรื่องในหนังสือเล่มนี้ทั้ง 12 เรื่อง อาจมองดูไม่ถึงกับเป็นเอกภาพ เพราะเล่าเรื่องโดยมีประเด็นหลักแตกต่างกันไป มีใจความสำคัญผิดแผกไม่เหมือนกัน มีทั้งเรื่องในเมือง นอกเมือง เรื่องส่วนตัว เรื่องของคนอื่น และเรื่องจินตนาการผสานกับเรื่องจริง กระนั้นก็ตาม เมื่อปิดหนังสือลงแล้วตรึกตรองนึกถึงสิ่งที่เขาร้อยเรียงออกมา กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันอย่างที่สุด เป็นเรื่องของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา ซึ่ง “จำลอง” กำลังจำลองภาพเคลื่อนไหวในซอกมุมต่างๆ ของสังคมแต่ละด้านมาให้เราเสพ เป็นเสมือนบทบันทึกถึงการเปลี่ยนแปลง การเป็น อยู่ คือ ของสังคมอย่างที่เราหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่ได้ แม้บางเรื่องอ่านแล้วรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสังคมหรือกลุ่มคนที่เขาพูดถึง แต่ ใช่หรือไม่ ที่ภาพเหล่านั้นคือสังคมที่เรายืนอยู่กับมันแล้วแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นบ่อยๆ เสมอๆ นั่นเอง

นอกจากเนื้อหาเรื่องราวที่เล่าถึงแล้ว สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากของหนังสือเล่มนี้ และงานเขียนเรื่องสั้นของจำลอง ฝั่งชลจิตร ที่ใครๆ มักขนานนามเขาว่า “ลอง เรื่องสั้น” คือ น้ำเสียงเล่าเรื่องแบบกวนๆ มีเสน่ห์ และน่าฟัง เขาอำตัวเองได้สนุกเป็นที่สุด แม้กระทั่งการอำตัวเองในแง่ของนักเขียนที่อยู่อย่างยากลำบากก็อำได้แบบสนุกสนาน ชวนให้เราขำขัน จนกระทั่งขำขื่นไปด้วย (ซึ่งแม้เราอ่านแล้วจะเข้าใจถึงภาวะนักเขียน หรือคนทำงานที่ทุ่มเทให้กับศิลปะ แต่กลับต้องเผชิญภาวะลำบากในแง่เศรษฐกิจ เพราะยึดมั่นในอุดมคติของอาชีพก็ตาม ก็อดหัวเราะกับความประชดประเทียดของจำลองเองไม่ได้)

ลองอ่านเรื่อง “หนังสั้น” (หน้า 95-99) แล้วต่อด้วย “เขียนเรื่องสั้น” (หน้า 101-108) ดูเถิด แล้วจะรู้ว่า จำลองเป็นนักเขียนเรื่องสั้นที่เขียนได้สนุกและมีอารมณ์ขันเพียงไร

หรืออย่าง “โนราห์แพ้จำบ๊ะ” (หน้า 143-153) ก็บอกเล่าถึงอารมณ์ความรู้สึกของนักเขียนอย่างเขาได้ดีจริงๆ

อีกเรื่องที่ชวนอ่าน คือ “แผ่นเดียวอิ่ม” (หน้า 121-140) ที่เขาล้อชื่อเรื่องโดยมีตัวละครหลักเป็นนักเขียนซีไรท์รุ่นน้องที่ได้รางวัลจากรวมเรื่องสั้น “แผ่นดินอื่น” (นอกจากล้อทั้งชื่อเรื่องแล้ว ล้อตัวละคร และล้อเล่นกับความยาวของเรื่องสั้นอีกต่างหาก)

ส่วนเรื่องสั้นสองเรื่องแรกของเล่ม “เคว้งคว้างกลางนาคร (สตูดิโอสยามสแควร์)” และเรื่องที่สอง “เคว้งคว้างกลางนาคร (โลกกลับด้าน)” จำลองในจินตนาการเหนือจริง มีแฟนตาซีผสมผสาน ก่อนที่จะไปสู่เรื่องของโลกจริงอีกด้านผ่านบทสนทนาระหว่างชายวัยกลางคน(ค่อนไปทางปลาย) กับเด็กสาวนักเรียนวัยใสที่กร้านโลก

...

“จริงๆ นะ คนเราบางคราวก็ต้องทำตัวเถลไถล หรือประพฤตินอกลู่นอกทางกันบ้าง อย่างตอนหัวค่ำฉันอยู่สยามสแควร์ ฉันว่าจะหาร้านเหมาะๆ สักร้าน”

เธอมองค้อนพลางหัวเราะหึๆ “...มาจากต่างจังหวัด แล้วนัดเด็กๆ กินข้าว!”

“อาร์ต...” เขาเผลอเรียกออกไป

“เชอะ...คนวัยคุณน้านี่แหละตัวดีนัก หลอกเด็กสาวๆ หลอกลูกๆ ว่าพ่อเป็นคนดีมีศีลธรรม หลอกเมียว่าเป็นสามีที่ดี หลอกลูกน้องว่าเป็นเจ้านายที่ยุติธรรม..ตอแหลกันชะมัด” เธอหัวเราะเยาะ

“ฉันไม่เคยมีอะไรกับสาวคนนั้นหรอก” เขาไม่ต้องการปกปิดเรื่องเมื่อตอนเย็น

“แต่คุณน้าก็แอบคิดอยู่ลึกๆ บ้างล่ะ ถ้าเด็กเล่นด้วยก็ไม่ปฏิเสธ”

“ฉันแก่แล้ว” เขาออกตัวโดยไม่ทันตรง วินาทีนั้นใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาเฉยๆ

“คุณน้าโกหก”

“ฉันโกหกไม่เก่งหรอก”

“ยอมสารภาพแล้วใช่มั้ย” เธอยิ้มหยันๆ “หนูไม่ว่าอะไรหรอก”

“ก็ได้...ฉันสารภาพ..ความจริงฉันก็หวังอยู่บ้าง” เขายิ้มพลางหัวเราะเบาๆ หวังว่าจะช่วยกลบเกลื่อนความรู้สึกละอายได้บ้าง

เธอหัวเราะชอบใจ ใบหน้าขาวซีดกลับมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด

เธอเชื่อคำสารภาพของผู้ชายคนนี้ ถ้าหากเปิดเผยเรื่องของเธอบ้าง เขาคงเข้าใจและไม่ตำหนิ อีกอย่าง...พอลงจากรถต่างคนต่างกลับที่ทางของตัวเอง

“หนูเพิ่งไปกับผู้ชายอายุเท่าๆ คุณน้ามาค่ะ ไปเถลไถลอย่างที่หนูบอก เขามาจากต่างจังหวัดเมื่อเช้า...มาประชุมที่กรมฯ เรื่องนั้นหนูไม่อยากสนใจหรอกค่ะ ประชุมเสร็จตอนเย็นเขามาหาหนู บอกความจริงก็ได้ว่าหนูรู้จักเขาตอนอยู่ต่างจังหวัด...เขาเป็นพ่อเพื่อนชั้นประถมของหนู”

“อะไรนะ”

“คุณน้าฟังไม่ผิดหรอกค่ะ พ่อเพื่อนหนูเอง ตอนนี้หนูเลิกคบเพื่อนคนนั้นแล้ว ผู้ชายคนนั้นลงทุนจ่ายค่าเรียนกวดวิชาให้หนู ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอก ปีหน้าหนูฝันไว้ว่าจะสอบเข้าบัญชีจุฬาฯ หรือไม่ก็เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ให้ได้ มันไม่ได้สูงเกินไปนักหรอกถ้าจะฝัน คนเราทุกคนมีสิทธิฝันนี่คะ แต่จะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งคุณน้าว่าไหมล่ะ เขาจ่ายให้หนูเดือนเก้าพัน ไม่นับรวมของพ่อแม่ที่บ้าน ทั้งค่าหอ ค่าเรียน ค่ากิน ไหนจะเสื้อผ้าสวยๆ ของใช้ตามใจชอบ...ไม่พอหรอกค่ะ วันไหนเขาบินขึ้นมาประชุมที่กรุงเทพฯ หนูก็ขอพิเศษ เขาโกงเงินหลวงเบิกนั่นโยกนี่ยุบยับทุกช่องทางที่ทำได้ โกงไว้ซื้อเก้าอี้ประจำตำแหน่ง โกงเผื่อไว้ต่ออายุเก้าอี้ปีหน้า ปีต่อปี.. เรื่องนี้หนูขอโทษถ้าหากทำให้คุณน้าระคายหู...หนูว่ากะหรี่กับนักเรียนเท่านั้นแหละที่รู้เรื่องพวกนี้ดี วันนี้ถึงหนูจะไม่ใช่เด็กดี แต่หนูก็อยากเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า แล้วหนูก็อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ ด้วย”

...

“เคว้งคว้างในนาคร (โลกกลับด้าน) (หน้า 37-39)

สำหรับเรื่องสั้นเรื่องอันเป็นชื่อของเล่ม “ผมกับผมอีกคน (ข้ามให้พ้นหุบเหวแห่งความเกลียดชัง)” เป็นเรื่องสั้นที่เสมือนบทบันทึกทางการเมือง และความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นและส่งผลต่อเนื่องมาถึงวันนี้ กับคำถามเสื้อเหลือง เสื้อแดง ความรัก ความเกลียดชัง และความเป็นฝักฝ่ายของแต่ละสี

จำลองสร้างภาพเสมือนตัวเองขึ้นมาพูดคุยกับตัวเขาในแง่ความคิดที่อยู่ข้างในใจ เพื่อบอกเล่าความรู้สึกของเขาต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น

...

“นายเพียงแต่หาทางบอกพวกเขาไป บอกพวกเขาเหมือนนายบอกฉัน ‘สำหรับแม่สีอะไรก็ได้’ หรือที่นายเล่าเรื่องเอ๋งให้ฉันฟัง หลังแม่ตายเอ๋งกลับมาหานาย ลองถามตัวเองสิ ทำไมนายถึงพูดอย่างนั้น ถ้าหูตานายไม่มืดบอดนายจะพบคำตอบ นายรักแม่นาย นายตระหนักในพระคุณของแม่ นายถึงว่าสีอะไรก็ได้ น้องชายไปชุมนุมล้มอำมาตย์ร่วมกับคนเสื้อแดง นายไม่รู้สึกเกลียดชังเพราะว่าเขาเป็นน้อง นายรักน้อง เพื่อนนายไปยึดทำเนียบรัฐบาลครึ่งปีร่วมกับกลุ่มคนเสื้อเหลือง นายไม่กล่าวโทษเพราะเขาเป็นเพื่อนรักของนาย ถ้านึกว่าทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เราจะรักกัน เราจะไม่เกลียดกัน จะไม่ปองร้าย ไม่คิดประหัตประหารกัน เรื่องนี้นายต้องใช้ความรักอย่างใหญ่หลวง ตัวนายต้องข้ามให้พ้นหุบเหวแห่งความเกลียดชังเสียก่อน อย่าเกลียด อย่าใช้ความเกลียด... ที่ไหนมีเงาทะมึนของความเกลียดชัง นายต้องส่งสัญญาณบอกให้คนที่หัวใจเป็นคนรีบปลีกตัวออกมา ที่ไหนมีกลิ่นอายของความตาย นายต้องจูงมือพวกเขาออกมา...”

(หน้า 64-65)

นอกจากเรื่องที่กล่าวถึงแล้ว ยังมีเรื่องสั้น “ในความมืดสุดหยั่ง”, “กรุงเทพฯ ไม่ไกล”, “เรื่องเล่าเกี่ยวกับแมวสองตัว”, “เหรียญพระบรมธาตุเจดีย์ตรีศูล”, และ “เราจะอยู่กับความกลัวตลอดไปอย่างนั้นหรือ?”

และเพราะเป็นเรื่องสั้น ผู้อ่านจึงสามารถเลือกอ่านได้ไม่เกี่ยงลำดับ เพียงแต่เรื่องที่ต่อเนื่องกัน อย่างสองเรื่องแรก และหนังสั้น และเขียนเรื่องสั้นนั้น หากอ่านต่อเนื่องกันก็จะเกิดอรรถรสมากขึ้น และรู้สึกกับมันได้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง

แนะนำโดย : สกุณี ณัฐพูลวัฒน์

เหมาะสำหรับ : คอเรื่องสั้นอย่าพลาดหนังสือเล่มนี้ เพราะจะว่าไปแล้วน้อยคนนักที่เขียนเรื่องสั้นอ่านแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับมีอะไรมากมายซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด ซึ่งเฉพาะนักเขียนที่เก่งและหลุดไปจากการอวดฝีมือเท่านั้นเอง จะทำได้สามัญอ่านสนุก และเต็มไปด้วยความสามารถเช่นนี้...