แสงสว่างในความรู้สึก : กระบี่ไม้ไผ่


แสงสว่างในความรู้สึก

เขียนโดย : กระบี่ไม้ไผ่

สำนักพิมพ์ : Way of Book

ราคา : 210 บาท

47 ความเรียงร่วมสมัยในหนังสือเล่มกระทัดรัดเล่มนี้ เปิดประตูชักชวนให้เรา-ผู้อ่านได้ค้นคิดและสำรวจพรมแดนจิตใจไปกับชีวิตยุคปัจจุบัน และกับอาการหลายๆ อาการที่เชื่อวาเราทุกคนได้เคยผ่านพ้น (แต่ละเรื่องเคยตีพิมพ์ลงในนิตยสารของ Way และ Image)

หนังสือเล่มนี้จะบอกว่าอ่านง่ายก็ไม่เชิง อ่านยากก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า แสงสว่างในความรู้สึก เขียนได้ไม่น่าอ่าน เปล่าเลย! แต่ละเรื่องนั้นอ่านเพลิน เพราะกระบี่ไม้ไผ่เขียนงานด้วยภาษาง่ายๆ แต่ต้องให้เวลาทำความเข้าใจกับบางเรื่องที่อาจจะยากสักนิด

เนื้อหาเรื่องราวในเล่มล้วนใกล้ชิดกับความรู้สึกของเราอย่างที่สุด หลายเรื่องเคยผ่านเข้ามาในชีวิต หลายประสบการณ์ที่เขาพบเราก็เคยเจอ แต่อาจไม่ได้จดจำหรือนั่งคิดนั่งตรึกตรองกับมันอย่างที่เขาทำ เหตุนี้เองจึงทำให้ความเรียงทั้งหลายกลายเป็นเรื่องที่อ่านแล้วเหมือนได้พูดคุยกับเพื่อนสนิท มีเพื่อนมาเตือน มาห่วงใยไถ่ถามความรู้สึกอย่างชิดใกล้ ลูบหลังลูบไหล่อย่างเบามือ พร้อมเปิดอกเปิดเผยเรื่องราวในมุมมองของเพื่อนไปด้วยกันกับเรา

ความเรียง 2-3 เรื่องในช่วงต้นของหนังสือ อย่าง ประตูสู่จักรวาล ผู้ลี้ภัยทางจิตวิญญาณ การหลงทางของช่างปั้นหม้อ เขียนให้อ่านได้ลึกซึ้งและน่าประทับใจ ร้อยเรียงเรื่องราวหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงไปสู่คำสอนของพระอริยสงฆ์หลายๆ ท่านที่เมื่ออ่านดูก็จะรู้ว่าเขามีความรู้และศรัทธาต่อคำสอนเหล่านั้นมากเพียงไร

แต่ละบทแต่ละตอนของเนื้อหาชวนให้หยุดอ่านแล้วครุ่นคิด ก่อนที่จะพลิกหน้าหนังสือเปิดอ่านต่ออีกสักนิด หรือพักหนังสือลงเพื่อครุ่นคำนึงถึงมันต่อไปอีกสักหน่อย

คุณเคยเป็นไหมกับช่วงเวลาว่าง เวิ้งว้าง เพราะรู้สึกว่าไม่มีให้ทำ ชั่วขณะนาทีอย่างนั้นเองที่คุณอาจเคยเป็นอย่างนี้...

“…เมื่อพบว่าทันทีที่สามารถรามือจากงานที่ทำอยู่ได้ในเวลาอันรวดเร็วเกินคาด และไม่อาจโอ้เอ้ฆ่าเวลาให้หมดไปได้เพราะสถานที่ไม่อำนวย ระหว่างทางเลือกว่าจะหันไปทางไหน ความเคว้งคว้างก็โผล่พรวดออกมาทำให้ใจสั่นไหว แม้ว่าจะสามารถกลบซ่อนมันทันทีด้วยการโทรศัพท์หาใครสักคนแล้วหาจุดหมายใหม่ แต่พลิ้วไหวเล็กๆ นั้นมันกัมปนาทสะท้านสะเทือน

สติเล็กๆ เตือนว่า ว่างเลยวุ่น

วุ่นมานาน ว่างแค่นิดเดียวทำไมมันวุ่นขนาดนี้ ไม่ฝึกไม่หัดว่างมากๆ คงวุ่นพิลึก

มันช่างเป็นภาวะหัวร่อมิออกร่ำไห้มิได้ เพราะจู่ๆ พลันพบว่า ตนเองช่างเป็นคนอนาถาเสียงจริง

อนาถาตามคำสอนของ หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพงที่ว่า

จิตของเรานี้ เมื่อไม่มีใครตามรักษา มันก็เหมือนคนคนหนึ่งที่ปราศจากพ่อแม่ที่ดูแล เป็นคนอนาถา คนอนาถานั้นเป็นคนขาดที่พึ่ง คนขาดที่พึ่งก็เป็นทุกข์ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าขาดการอบรมบ่มนิสัย หรือทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จิตนี้ลำบากมาก

อนุสติผุดคำสอนของ หลวงปู่เฟื่อง โชติโก ขึ้นมาว่า

เวลาเราทำงานอะไรอยู่ ถ้าเราสังเกตว่าใจเราเสีย ก็ให้หยุดทันทีแล้วกลับมาดูใจของตนเอง เราต้องรักษาใจของเราไว้เป็นอันดับแรก

หากแสงกระจ่างฟ้าของท้องฟ้าหลังฝน เป็นเพราะไม่ต้องโอบอุ้มก้อนมเฆ ทัศนวิสัยของเราก็ย่อมจะแจ่มกระจ่างต่อเมื่อใจไม่ถลำเข้าไปแบกรับสิ่งใด...

(ผู้ลี้ภัยทางจิตวิญญาณ / หน้า 16-21)

งานเขียนของกระบี่ไม้ไผ่ไม่ได้เป็นงานเขียนประเภทที่มานั่งสั่งสอนหรือเทศนาธรรม แต่เป็นเหมือนเพื่อนชวนกันคุย เชื่อมโยงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเหมือนนักสำรวจความคิดที่ไม่ได้สำรวจเพื่อขุดคุ้ย เขี่ยร่องรอยบาดแผลให้เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เป็นการชวนให้เราลงไปสำรวจเช่นเดียวกันกับเขา ทว่า ต่างคนต่างสำรวจเนื้อในของตนก่อนจะคลี่คลายมันลงด้วยความเข้าใจ (ด้วยตัวเอง) โดยมีเพื่อนอย่างเขา มองมาด้วยสายตาให้กำลังใจ หากเราไปไม่ถึงฝั่งเขาก็ยังไม่ทอดทิ้ง หรือยืนก่นด่า ประนามความไม่ตั้งใจของเรา ก็เขารู้ว่ายุคสมัยนี้จิตใจ การงาน และสิ่งรอบตัวเป็นเช่นไร หากจะไปด้วยกันมีเพียงแต่ต้องยื่นมือช่วยเหลือมากกว่าจะเหยียดหยัน เยาะเย้ย

ใช่แล้ว! งานของเขาไม่มีน้ำเสียงเหล่านั้นเลย

น้ำเสียงในความเรียงของเขา เป็นน้ำเสียงของการส่งต่อแสงไฟเพื่อส่องสว่างในหนทางแห่งโลกอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เพื่อไปสู่หนทางของความสุขในแต่ละแบบฉบับเฉพาะแห่งตน (ไม่ได้ยัดเยียดหนทาง หรือประกาศก้องอวดเส้นทางเดินเพื่อพบสุขแบบนั้นแบบนี้!!)

ใครที่สนใจ อยากบอกว่า หยิบมาอ่านเถิดแล้วจะไม่ผิดหวัง และขอบอกว่าไม่จำเป็นต้องอ่านรวดเดียวหมดเล่ม แต่ควรค่อยๆ ละเลียด ค่อยๆ คุยกับเพื่อนไปวันละบทละตอน เพื่อให้ความเข้าใจนั้นค่อยๆ หยั่งรากและทำความรู้จักกับจิตด้านในของเราอย่างช้าๆ

จริงๆ แล้ว อยากนำเสนอถ้อยคำในบางบทตอน หรือยกคำเขียนดีๆ มาหลายๆ ช่วง แต่เพราะความเรียงเหล่านี้ต้องอ่านร้อยเรียงกันทั้งเรื่อง (สั้นๆ) จึงจะอิ่มเต็มและจึงจะเก็บความหมายได้ตามที่กระบี่ไม้ไผ่ตั้งใจสื่อสาร ดังนั้น ในที่นี้จึงขอรบกวนเนื้อที่ และเวลาผู้อ่านมาลองอ่านสักบทในหนังสือ แสงสว่างในความรู้สึก ก่อนตัดสินใจเดินไปที่ร้านหนังสือ (หรืองานสัปดาห์หนังสือ) เพื่อหยิบติดมือซื้อกลับบ้านสักเล่ม-สองเล่ม

เรื่องที่ยกมาทั้งตอนนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกหลากหลาย ทั้งยังร่วมสมัยกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอย่างที่สุด (เคยลงในนิตยสาร Way ฉบับ 34/2553)

ดึงเชือกย่ำระฆัง (หน้า 224-229)

มีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งชี้ว่า ผู้คนและบ้านเมืองต่างๆ ในโลกนี้กำลังเปลี่ยนแปลง

มิใช่แค่เรื่องกายภาพประเภทธารน้ำแข็งลดลงอย่างน่าใจหาย หรือภาวะความแปรปรวนทางธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งกำลังคุกคามความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วทุกมุมโลกอย่างเปิดเผย หากแต่เป็นความแปรปรวนทางจิตใจอันโกลาหล

รอยปริแตกเล็กๆ อย่างหนึ่งซึ่งบ่งบอกถึงอาการนั้นคือ หาพระตีระฆังไม่ค่อยจะได้แล้ว

หลายศตวรรษมาแล้วที่นักบวชนิกายคาทอลิกในประเทศอิตาลี จะย่ำระฆังโดยดึงเชือกทุกเที่ยงวันและเวลา 6 โมงเย็น มันไม่ได้เป็นแค่พิธีการบอกเวลา อันเป็นความคุ้นชินบนสายสัมพันธ์ระหว่างโบสถ์กับชาวบ้านเท่านั้น หากแต่เป็นความเชื่อของผู้คนที่สั่งสมกันมาชั่วคนว่า เสียงกังวานของระฆังจากโบสถ์จะป้องกันพายุลูกเห็บและสลายอันตรายที่มากับความืดครึ้มได้

ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่

บัดนี้วัฏจักรชีวิตที่ดำเนินมาหลายร้อยปีกำลังสั่งสะเทือน เสียงย่ำระฆังกำลังจะหายไป

เพราะนักบวชนิกายคาทอลิกนับวันจะมีน้อยลงเรื่อยๆ เสียงระฆังจึงแผ่วลง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ บริษัท รูบากอตตี้ กอมปาเน บริษัทผู้เชี่ยวชาญในการผลิตระฆังของอิตาลีจึงพัฒนาระบบตีระฆังขึ้นมาใหม่ โดยให้พระคาทอลิกตีระฆังโดยใช้โทรศัพท์มือถือแทนการดึงเชือก

แค่พระกดโทรศัพท์มือถือสั่งตีระฆัง ก็จะมีสัญญาณไปให้ระบบที่ปลายทางเริ่มทำงาน แค่นี้ปัญหาปวดหัวที่ต้องหาพระหมุนเวียนกันไปย่ำระฆังตามโบสถ์ต่างๆ ทั้งที่ใกล้ไกลก็จะหมดไป นัยว่า เท่าที่ทดลองใช้พระก็พอใจ บริษัทผู้ออกแบบก็ดีใจที่การสังเกตพบว่า พระชอบพกสมาร์ทโฟนสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ (กรุงเทพธุรกิจ : 21 มิถุนายน 2553)

เสียงระฆังโบสถ์คาทอลิกในอิตาลีจะกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่มันจะช่วยปัดเป่าภยันตรายได้อยู่อีกหรือ?

นิกายคาทอลิกได้ชื่อว่า เข้มงวดกับการฝึกตน อาจเพราะเหตุนี้จำนวนพระคาทอลิกจึงน้อยลง แต่ใช่หรือไม่ว่า ในโลกอันผันผวนนี้ มีแต่คนฝึกตน คนที่ฝึกควบคุมจิตใจตนเองเท่านั้นจึงจะฝ่าไปได้หรือพอจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้

นี่คือความต่างระหว่างการย่ำระฆังด้วยมือ และการสั่งสัญญาณทางแบล็คเบอร์รีหรือไอโฟน

แน่นอนว่า ในสมัยใหม่เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอะไรมากมาย แต่ถ้าจิตสำนึกของการสังหารโดยวิธีกดปุ่มยิงจรวดนำวิถี มันแตกต่างจากการเผชิญหน้าระยะประชิดในสนามรบตามสงครามรูปแบบเดิม หรือเป็นจิตสำนึกที่แตกต่างจากากรรบบนหลังม้าในสมัยโบราณ ก็เชื่อได้ว่า การพังทลายของจิตใจมนุษย์นั้น จะส่งผลรุนแรงกว่าการพังทลายของธรรมชาติมากมายนัก

มีร่องรอยการแปรเปลี่ยนทางจิตใจปรากฏมากมายอยู่บนโลก

ถ้าเฝ้าพินิจดูมันอาจจะเหมือนวงปีของต้นไม้ อาจจะเหมือนร่องรอยของไลเคน หรือซากฟอสซิลตามที่ต่างๆ

ชายหนุ่มถามคนที่เคยเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกบางคนว่า เท่าที่เดินทางไกล 5-6 ครั้งต่อปีนั้น เห็นโลกเปลี่ยนไปบ้างไหม

เธอว่ามันมีความเหมือนกันมาขึ้นทุกขณะ เราไม่ต้องกังวลใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เราเคยใช้แล้วลืมติดตัวมาด้วยนั้นจะหาไม่ได้ในร้านสะดวกซื้อ แม้แต่อาหารการกินก็ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ความเป็นเอกลักษณ์หายไป มันจะปรากฏเฉพาะในการแสดงโชว์ซึ่งเป็นการท่องเที่ยว หรือไม่ก็ต้องเดินทางลึกเข้าไปไกลกว่านั้นถึงจะพบเห็น ที่เปลือกยังแข็งอยู่และเห็นประจักษ์ชัดด้วยตาคือ ญี่ปุ่น

อะไรบางอย่างกำลังหลอมผู้คนเข้าด้วยกัน ถ้าจะไม่ให้ความร้อนที่แผดเผาเข้ามานั้นทำลายล้างเราไปจนหมดสิ้น ก็ต้องอยู่กับโลกโดยไม่ติดกับโลก ตีระฆังด้วยการดึงเชือกได้ก็ต้องดึง ส่วนที่ไหนห่างไกลจนเกินไปต้องใช้สมาร์ทโฟนก็ต้องใช้

รอยปริแตกท่ามกลางความโกลาหลประจำยุคสมัยนั้นมีอยู่ทั่วไป ถ้าสังเกตให้ดีก็จะมีให้เห็น มีให้ได้ยินอยู่ทุกวัน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คนปากีสถานไม่พอใจที่ไฟฟ้าดับในช่วงการแข่งขันบอลโลก จึงลุกฮือขึ้นมาเผาโรงผลิตไฟฟ้าเสียหายไป 5 แห่ง

ไม่มีใครฉุกคิดเลยว่า เหตุที่ไฟฟ้าดับนั้นเป็นเพราะผลิตไฟฟ้าไม่พอ จึงต้องจ่ายไฟเป็นเขตๆ พอไฟไม่พอเลยเผาโรงไฟฟ้า แล้วมันจะมีไฟที่ไหนมาให้ใช้กันเล่า?

เผาโรงไฟฟ้าได้ไม่กี่วัน นักศึกษารุ่นพี่รุ่นน้องก็ยกพวกตีกันเพราะข้างหนึ่งอยากให้เลื่อนวันสอบเพราะอยากจะดูบอล อีกข้างต้องการสอบให้เสร็จๆ ไป ผลเสียหายกลายเป็นข้อยุติเพราะเกรงว่าจะบานปลายทางการเลยเลื่อนวันสอบออกไปก่อน

ประเทศเราเองผู้คนจำนวนไม่น้อยปรารถนาจะได้ประชาธิปไตยใหม่ที่ดีกว่า พวกเขาล้วนชิงชังเรื่อง 2 มาตรฐาน ความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ต่างหวังว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น แต่ผลสุดท้ายมันจบลงชั่วคราวอย่างน่าเศร้า เหมือนกับอยากดูบอลโลกแล้วไฟฟ้าดับเลยเผาโรงไฟฟ้าเสียเลย

นักสังเกตการณ์บางคนคิดว่า ขณะระดับปัจเจกชนครุ่นคิดถึงหนทางการได้อยู่รอดปลอดภัยตามมาตรฐานความพอใจของตนเอง รัฐบาลทั่วโลกเองก็คงปวดหัวอย่างหนักกับการฝ่าความผันผวนไปโดยสามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนหลักๆ ในบ้านเมืองของตนเองให้ได้

อาจเพราะเห็นความยุ่งยากตั้งเค้าทะมึนอยู่เบื้องหน้า ในฐานะปัจเจกชนคนหนึ่ง เขาจึงอดสำรวจหน้าตักตัวเองไม่ได้ว่าจะสามารถรับมือกับมันได้ไหมเมื่อวันหนึ่งมาถึง

ถ้าไม่โกง ไม่ทุจริต ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ทำอะไรบ้าบอคอแตกที่จะทำให้ตายไปโดยหลับตาไม่สนิทก็คงพออยู่พอกินไปเรื่อยๆ ถ้าต้องอยู่ถึงเฒ่าชะแรแก่ชราก็คงต้องอยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่ แต่จะห่วงอะไรกับการมีกินหรือไม่มีกิน ห่วงอะไรกับการเจ็บป่วย ห่วงอะไรกับความไม่มีเล่า

หลายคนอาจจะคิดว่า ตัวเองจะมีชีวิตยืนยาวราวประหนึ่งธารน้ำแข็งโลก แต่แท้จริงแล้วมันก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

ทุกอย่างมีวันสิ้นสุด

60 ปี 70 ปี 80 ปี ไม่ได้ยาวนานอะไรเลย วันหนึ่งคืนหนึ่งก็เพียงชั่วครู่เดียว ที่ผู้รู้เปรียบเทียบว่าชีวิตหนึ่งราวกับพยับแดดนั้นแน่แท้ทีเดียว

มีชีวิตหนึ่งก็สร้างเอาเลือกเอา รวยจนก็แค่เครื่องอยู่ สติปัญญารอบรู้ รู้ทันจิตใจตัวเอง รู้เสื่อม รู้เจริญ รู้อะไรจริงอะไรสิ่งลวง ฯลฯ ก็อยู่ได้สบายดี สุขสงบหรือไม่ก็แล้วแต่ว่าจะควบคุมจิตใจตัวเองได้ขนาดไหน

คนที่เชื่อว่า จำเป็นต้องออกแรงดึงเชือกย่ำระฆังบางคนสังเกตตัวเองเช่นกันว่า พักหลังนี้ขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็เหนื่อยแล้ว และระหว่างเดินขึ้นไปดึงเชือกจิตใจก็ฟุ้งซ่าน แม้เวลาดึงเชือกแล้ว เสียงระฆังก็มิได้ช่วยขับไล่ความฟุ้งซ่านซึ่งกำเริบเป็นตุเป็นตะ ให้กระเจิดกระเจิงไปได้เลย บ่อยครั้งจึงมีพายุลูกเห็บซัดกระหน่ำเข้ามา แต่เขาก็ยังพยายามปีนบันไดไปดึงเชือกอยู่เป็นประจำ

เขาเชื่อว่า เอาเข้าจริงแล้วเสียงกังวานที่ก้องกังวานออกไปไม่อาจจะสลายอันตรายที่เข้ามากับความืดให้ใครได้ แต่ถ้าใครดึงเชือกบ่อยๆ เดินขึ้นบันไดเป็นประจำ ใครคนนั้นย่อมแข็งแรง ซึ่งนั่นมันทำให้ป้องกันอันตรายสำหรับตนเองได้แน่นอน


แนะนำโดย : สกุณี ณัฐพูลวัฒน์

เหมาะสำหรับ : คนที่สนใจเรื่องธรรมะ แต่อยากอ่านเรื่องที่ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เนื้อหาเชื่อมโยงทั้งคำพระสอนและประสบการณ์ที่เราๆ ท่านๆ มีโอกาสได้พบเจอในชีวิตประจำวัน

และสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจธรรมะโดยตรง แต่ชื่นชอบงานเขียนที่สำรวจจิตใจของตนเอง งานเขียนที่ให้ความรู้สึกครุ่นคำนึงถึงเรื่องราวบางอย่าง ลองหยิบมาอ่านแล้วจะชอบ

สำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียนบทความและความเรียง อยากแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะมีความเก่งฉกาจในการร้อยเรียงเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ผสมผสานเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกันให้มีแก่นแกนเดียวกันได้อย่างน่าสนใจ

สนใจ เคล็ดไทย